WATCH with Unique Style
แรกเริ่มเดิมทีนาฬิกานั้น ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการบอกเวลา แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าแบรนด์นาฬิกา จะไม่ค่อยให้ความสำคัญในจุดนี้สักเท่าไหร่ เพราะบรรดานักออกแบบต่างจัดหนักจัดเต็ม ในเรื่องของการดีไซน์ที่ต้องสะดุดตาและน่าจดจำ ผนวกกับความหรูหราเพื่อสร้างความแตกต่างและโดดเด่น ของตัวตนหรือที่พูดกันอย่างเท่ห์ๆ กันว่าคาแรคเตอร์ จนทำให้บางครั้งคนที่สวมใส่เรือนเวลาเหล่านี้ มักจะพลิกข้อมือตนเองมาดูเพื่อยกระดับความมั่งคั่งให้โลกรู้ หรือเพิ่มสไตล์ให้แก่ตนเองมากกว่าเพื่อดูเวลาด้วยซ้ำไป “เหตุเกิดจากยาง” - HUBLOT แบรนด์นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ ของชายชาวอิตาเลียนชื่อ Mr. Carlo Crocco ผู้บุกเบิกการนำแผ่นยาง มาผลิตเป็นสายนาฬิกาซึ่งไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน เพราะในยุค 80s นั้น ยังไม่มีนาฬิกาแบรนด์ใดผลิตนาฬิกาเรือนทองคำเข้าคู่กับสายยางเกิดขึ้น แต่เขาก็เข็นจนสำเร็จและเป็นการจุดประกายให้เกิดปรัชญา “The Art of Fusion” ที่ HUBLOT ถือปฏิบัติในการผลิตนาฬิกาตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจุดนี้นับเป็นการผสมผสานความต่าง ของวัสดุและสไตล์ในแบบ Traditional และความเป็น Innovation เข้าด้วยกัน ในรูปแบบตัวเรือนที่มีลักษณะเฉพาะ ที่ยึดด้วยสกรูว์ไทเทเนียม 12 ตัว มีรูปทรงคล้ายช่องหน้าต่างเรือ และเป็นที่มาของชื่อ HUBLOT ที่มาจากภาษาฝรั่งเศษและมีความหมายเดียวกับคำว่า Porthole ในภาษาอังกฤษ ที่แม้จะไม่ได้มีเส้นทางประวัติศาสตร์เป็นร้อยปีเหมือนนาฬิกาหรูอื่นๆ แต่ก็เป็นแบรนด์ที่มีเส้นทางเดินเป็นของตัวเองที่น่าสนใจ จนกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกาที่นักสะสมทั่วโลกอยากได้ไว้ครอบครอง“มั่งคั่งบนข้อมือ” - RICHARD MILLE แบรนด์นาฬิกาอินดี้สุดหรู ที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคที่ตลาดนาฬิกาเริ่มมี Independent Brand เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดย RICHARD MILLE เริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์ของเขาในปลายยุค 90s และออกดอกออกผลสู่ตลาดใน 2 ปีถัดมา กับนาฬิการุ่น - ที่มีตัวเรือนทรงตอนโน พร้อมหน้าปัดแบบสเกเลตัน นาฬิกาที่เป็นเอกลักษณ์นี้ ได้พัฒนากระบวนการผลิตที่ซับซ้อน โดยไม่มีชิ้นส่วนที่เรียบแบน ทำให้การประกอบตัวเรือนมีความยุ่งยากสูง และวัสดุที่ใช้ก็เป็นเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรม ที่ไม่ได้คิดค้นมาเพื่อการผลิตนาฬิกา ซึ่ง Mr. Richard Mille เองก็ทุ่มงบประมาณในการทำความเข้าใจในวัสดุ และวิธีการต่างๆ เพื่อรวมไว้ในนาฬิกาแบรนด์นี้
“คุณต้องเข้าใจว่านี่เป็นนาฬิกาที่มีความเป็นเทคนิคัลเอามากๆ” โดยคำว่าเทคนิคัลที่ Mr. Richard Mille เอ่ยถึงก็กลายเป็นคำถามที่ดูจะเป็นคำตอบในตัวว่า ทำไมผู้คนกระเป๋าหนักจึงยินดีจ่ายเงินหลายล้าน ไปกับนาฬิกาแบรนด์นี้ ขณะที่แบรนด์ส่วนใหญ่จะเน้นนำเสนอสินค้า ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นแต่มีราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อต่อสู้ในสงครามราคาแต่ RICHARD MILLE กลับมั่นใจที่จะเลือกใช้วัสดุที่พิเศษ เพื่อผลิตสินค้าออกมาให้แตกต่างมากที่สุด จนอาจจะพูดได้ว่า Mr. Richard Mille ต้องการที่จะให้นาฬิกาของเขาเป็นนาฬิกาที่แพงที่สุดในตลาดก็ว่าได้
“วาววับระยับตา” - เป็นเวลาหลายสิบปีที่แบรนด์ JACOB&CO ได้เกิดขึ้นในแวดวงผู้ผลิตเครื่องประดับ และนาฬิกาชั้นสูงที่คนทั่วโลกไว้วางใจ โดยเฉพาะในส่วนของคอลเลคชั่นนาฬิกาข้อมือ ของแบรนด์ที่ผู้คนต่างก็รู้จักกันดีว่า อย่างเช่นนาฬิการุ่น Five Time Zone ที่นำเสนอในปี 2002 โดย Mr. Jacob Arabo
ที่ถือเป็นนาฬิการุ่นแรกของแบรนด์ที่ดังเป็นพลุแตกในทันที โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการบ่นของลูกค้า ที่เบื่อหน่ายความวุ่นวายในการตั้งเวลาในแต่ละไทม์โซน และทำให้มีบุคคลมีสกุลตลอดจนดารานักแสดงมากมายเลือกใส่
นาฬิกาของ JACOB&CO มักจะอัดแน่นไปด้วยสีสันแวววาว จากอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนอย่างไร้ที่ติ ผนวกกับกลไกชั้นเยี่ยมที่เรียกได้ว่าซับซ้อนและน่าทึ่ง ตามปรัชญาของ JACOB&CO ที่จะสร้างสรรค์งานฝีมือที่บอกเวลาได้ ซึ่งทำให้นาฬิกาของ JACOB&CO ทุกเรือนเป็นเรือนเวลา ที่หลอมรวมความตระการตาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ยานยนต์ดลใจ”- GRIMOLDI แบรนด์นาฬิกาที่เกิดจากธุรกิจครอบครัวชาวอิตาเลียน ที่ตั้งใจรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ของตน ให้สะท้อนถึงคุณภาพและรสนิยมในแบบฉบับแดนมักกะโรนี จากชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นเวลาครึ่งทศวรรษทำให้ GRIMOLDI เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความสำเร็จมากมายไว้ ไม่ใช่เพียงแค่ภายในอิตาลีแต่ยังมีการขยายฐานลูกค้าไปทั่วทุกมุมโลก และตัดสินใจเปลี่ยนฐานะตนเองจากบริษัทที่ดำเนินธุรกิจภายในครอบครัว กลายเป็นแลนมาร์คสำคัญของวงการนาฬิกาในอิตาลีในนาม GRIMOLDI MILANO
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา GRIMOLDI MILANO มีการเปิดไลน์นาฬิกาคอลเลคชั่นใหม่ๆ เป็นระยะจนมาถึงรุ่นล่าสุดที่มีชื่อว่า G.T.O ที่จากความหลงใหลในยานยนต์ ผันกลายมาเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ Mr. Roberto Grimoldi โดยนำนาฬิกาจากคอลเลคชั่น Borgonovo สุดคลาสสิคมาพัฒนาและต่อยอด ผสมผสานขึ้นระหว่างความนุ่มนวลของรูปทรงปะการัง ที่ได้รับการสรรสร้างจากธรรมชาติและความเป็นเลิศของสุดยอดยนตรกรรมอมตะอย่าง Ferrari 250 G.T.O รถยนต์ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นเลิศในด้านการออกแบบและในด้านวิศวกรรมคันหนึ่งของประวัติศาสตร์รถยนต์บนโลกใบนี้ จนกลายเป็นความโรแมนติคอย่างน่าอัศจรรย์การจะผลิตนาฬิกาข้อมือสักรุ่นให้ประสบความสำเร็จนั้นมีสูตรที่ไม่ตายตัว และทุกแบรนด์ล้วนทราบดีว่าการจะทำให้แบรนด์ของตนเป็นที่จดจำ (ในเรื่องดี) นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จากดีเอ็นเอของแบรนด์ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นดีไซน์ เพื่อบ่งบอกสไตล์ของผู้ครอบครองที่ต้องแลกมาด้วยเม็ดเงินจำนวนไม่น้อย และแน่นอน ว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่ยอมแลกเงินก้อนโตเพื่อสร้างความแตกต่างและชัดเจนในตัวเองโดยไม่ยี่หระกับราคาสักนิด ตามสโลแกนที่ว่า “เพราะถ้าถูกใจ จะไม่มีคำว่าแพง”
นาฬิกาของ JACOB&CO มักจะอัดแน่นไปด้วยสีสันแวววาว จากอัญมณีที่ผ่านการเจียระไนอย่างไร้ที่ติ ผนวกกับกลไกชั้นเยี่ยมที่เรียกได้ว่าซับซ้อนและน่าทึ่ง ตามปรัชญาของ JACOB&CO ที่จะสร้างสรรค์งานฝีมือที่บอกเวลาได้ ซึ่งทำให้นาฬิกาของ JACOB&CO ทุกเรือนเป็นเรือนเวลา ที่หลอมรวมความตระการตาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ยานยนต์ดลใจ”- GRIMOLDI แบรนด์นาฬิกาที่เกิดจากธุรกิจครอบครัวชาวอิตาเลียน ที่ตั้งใจรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ของตน ให้สะท้อนถึงคุณภาพและรสนิยมในแบบฉบับแดนมักกะโรนี จากชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นเวลาครึ่งทศวรรษทำให้ GRIMOLDI เก็บเกี่ยวประสบการณ์และความสำเร็จมากมายไว้ ไม่ใช่เพียงแค่ภายในอิตาลีแต่ยังมีการขยายฐานลูกค้าไปทั่วทุกมุมโลก และตัดสินใจเปลี่ยนฐานะตนเองจากบริษัทที่ดำเนินธุรกิจภายในครอบครัว กลายเป็นแลนมาร์คสำคัญของวงการนาฬิกาในอิตาลีในนาม GRIMOLDI MILANO
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา GRIMOLDI MILANO มีการเปิดไลน์นาฬิกาคอลเลคชั่นใหม่ๆ เป็นระยะจนมาถึงรุ่นล่าสุดที่มีชื่อว่า G.T.O ที่จากความหลงใหลในยานยนต์ ผันกลายมาเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ Mr. Roberto Grimoldi โดยนำนาฬิกาจากคอลเลคชั่น Borgonovo สุดคลาสสิคมาพัฒนาและต่อยอด ผสมผสานขึ้นระหว่างความนุ่มนวลของรูปทรงปะการัง ที่ได้รับการสรรสร้างจากธรรมชาติและความเป็นเลิศของสุดยอดยนตรกรรมอมตะอย่าง Ferrari 250 G.T.O รถยนต์ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นเลิศในด้านการออกแบบและในด้านวิศวกรรมคันหนึ่งของประวัติศาสตร์รถยนต์บนโลกใบนี้ จนกลายเป็นความโรแมนติคอย่างน่าอัศจรรย์การจะผลิตนาฬิกาข้อมือสักรุ่นให้ประสบความสำเร็จนั้นมีสูตรที่ไม่ตายตัว และทุกแบรนด์ล้วนทราบดีว่าการจะทำให้แบรนด์ของตนเป็นที่จดจำ (ในเรื่องดี) นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จากดีเอ็นเอของแบรนด์ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นดีไซน์ เพื่อบ่งบอกสไตล์ของผู้ครอบครองที่ต้องแลกมาด้วยเม็ดเงินจำนวนไม่น้อย และแน่นอน ว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่ยอมแลกเงินก้อนโตเพื่อสร้างความแตกต่างและชัดเจนในตัวเองโดยไม่ยี่หระกับราคาสักนิด ตามสโลแกนที่ว่า “เพราะถ้าถูกใจ จะไม่มีคำว่าแพง”
